Friday, March 02, 2007

เราจะช่วยชาติยังไงดี


ทุกคนครับ
จริงๆ การเขียนกระทู้อันนี้ มันเริ่มจากผมนั่งเขียนต้นฉบับ
ผมกำลังหาข้อมูลและเรื่องนายกรัฐมนตรีของเวียดนาม
(นายเหงียน ตัน ดอง เป็นนายกคนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนาม
และเด่นมากเรื่องมีหัวการตลาด การค้าพอๆ กับเรื่องควาวมตงฉินของแก)

ตอนนี้ไทยเราโดนเอาไปเปรียบเทียบกับเวียดนามค่อนข้่างบ่อยว่าเรากำลังจะโดนแซง
ในอีกไม่ถึง 20 ปีนี้(หรืออาจเร็วกว่านั้น ซึ่งก็เป็นไปได้สูง)
ตอนนี้เวียดนามกำลังลงทุนหลายต่อหลายอย่างเพื่อรองรับ
การเติบโต ปีนี้เขาเริ่มสร้างสนามบินใหม่ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (แต่ใช้เวลาสร้าง
ประมาณ 8 ปี ไม่ใช่ 42 ปีอย่างบางประเทศ) เร่ิมพัฒนาเรื่อง infrastructure และ
มีการจัดตั้งศูนย์ที่เขาเรียกว่า Veitnam academy of social science
เป็นศูนย์เหมือนๆ กับ TDRI บ้านเรา คือทำหน้าที่ในการวิจัยทุกๆ อย่างที่รัฐสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในการกำหนดนโยบายประเทศ
ศูนย์นี้ตั้งเมื่อปี 2002 และเติบโตเร็วมาก
ตอนนี้มีนักวิทยาศาสตร์ทำงานอยู่ 1500 คน
ซึงเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรกว่า 80 ล้านก็ถือว่ามาก
เพราะจีนก็มีศูนย์แบบนี้ แต่มีนักวิทยาศาสตร์อยู่ 2200 คน

นอกเหนือจากนายกที่เก่งเรื่องการยริหารและหัวการตลาด
(การจัดประชุม เอเปคและการเจรจาเข้าร่วม WTO ได้ของเขา ทำให้เวียดนามมีโอกาส
"ประชาสัมพันธ์" ตัวเองได้มาก)ว่ากันว่าการให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาการศึกษานี่เอง ที่ทำให้เวียดนามโตอย่างรวดเร็วและมีทิศทาง
ขณะที่บ้านเราระบบการศึกษายังเป็นคำถามอยู่(คุณแม่ผมเล่าให้ฟังว่า
ตอนนี้เด็กๆ ประถม ยังมีหนังสือเรียนชื่อ "เศรษฐกิจครัวเรือน" ถามว่ามีทำไม
แม่บอกว่า มีคนบางจำพวกที่หาเงินด้วยการซอยหนังสือแบบเรียนเป็นเล่มย่อยๆ
"เด็กก็ต้องซื้อหลายรอบ โรงพิมพ์ก็ต้องพิมพ์หลายครั้ง" คงไม่ต้องบอกว่าทำเพื่ออะไร)

เวียดนามขึ้นมาเป็นประเทศที่สองของโลกที่ญี่ปุ่นสนใจอยากลงทุนมากที่สุดรองจากจีน
ตำแหน่งนี้เคยเป็นของไทย แต่ตอนนี้ไทยเราตกไปอยู่ที่ท้ายๆ เพราะปัจจัยด้านการเมือง

มีคนตั้งขอ้สังเกตว่าหากเมืองไทยยังมีระบบการเมืองแบบนี้
ยังแก้ปัญหาเรื่องคอรัปชั่นไม่ได้ และคิดนโยบาย ทำนโยบายเหมือนเด็กเล่นขายของ
ไทยก็ไม่มีทางไปถึงไหน และในขณะที่เศรษฐกิจของเวียดนามโตระดับเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ทุกๆ ปี

การเมืองเป็นเรื่องใหญ่กว่าทุกอย่างครับ มากกว่าระบบการเงิน
หรือระบบเสรษฐกิจเสียอีก

หากเราจะสังเกตกันรอบๆ เมืองไทย จะพบว่า
ประเทศที่สามารถพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดอย่าง
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้่หวัน ฮ่องกงหรือสิงคโปร์ สิ่งสำคัญก็คือ
การมีรัฐบาลพรรคเดียวบริหารแบบต่อเนื่องและยาวนาน
ทำให้นโยบายไม่สะดุด ไม่ต้องนับหนึ่งกันใหม่เวลาเปลี่ยนรัฐบาล
ที่สำคัญคือต้องปราบปรามคอรัปชั่นได้อย่างเด็ดขาด
เหมือนให้คนเปลี่ยนมาเรียกยาบ้าแทนยาม้า

ตำพูดคุณวิกรม เจ้าของอมตะนครในรายการโทรทัศน์รายกการหนึ่ง
ตอนพบค่ำ เขาเล่าถึงประสบการณ์กว่าสิบปีที่ทำงานกับคนเวียดนามนานหลายสิบปี
เขาพบอย่างหนึ่งว่าแววตาของคนเวียดนามต่างจากคนไทยมาก
"คนเวียดนามมีแววตาที่มุ่งมั่น ใฝ่รู้ กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งเป็นที่ถูกใจของนักธุรกิจที่ได้เข้าไปติดต่อกับเวียดนาม
เพราะเขาเห็นพลัง เห็นความกระหายอยากรู้ แล้วคนเวียดนามมี creative mind ดี
กล้าคิดกล้าทำ
นักธุรกกิจญี่ปุ่นหลายคนที่เคนมาติดต่อกับราชการที่เมืองไทย
เขามักบอกผมเสมอๆ ว่าคนไทยไม่มีสายตาแบบนั้น บางทีเหม่อลอย
บางทีไม่กล้า ไม่กระตือรือร้น
โดยเฉพาะข้าราขการไทย แทบหาไม่ได้
แววตาที่อยากทำงาน แววตาที่กระตือรือร้น มุ่งมั่นแบบนั้น"
คุณวิกรมบอกว่าในขณะที่คนไทยเดินทอดน่องกันตอนเลิกงาน
แต่ที่เวียดนาเขาไม่เคยเห็นใครทำอย่างนั้น

ครั้งหนึ่ง
คนไทยเราครั้งหนึ่งเคยเรีัยกคนจีนแบบดูถูกว่าพวกเจ๊ก
เราเคยเรียกคนเวียดนามด้วยคำว่า ไอ้พวกเวียดกง

ผมไม่รู้ว่าคนเวียดนามเขาเรียกเราว่าอะไร
และคนจีนเรียกเราว่า "ไ่ทกั่วเหยิน" นั้น เขาจะเราด้วยนำ้เสียงแบบเดียวกับ
ที่เราพูดว่าเจ๊กหรือเปล่า

ผมไม่รู้ว่านี่เป็นข้อดี หรือเป็นข้อเสียของเรา
กับการที่เราสามารถเป็นคนเปิกเฉยในบางเรื่องได้สบายๆ(อย่างคอรัปชั่นหรือวัฒนธรรมแบบปากอย่างใจอย่าง)
และใส่ใจกับเรื่องบางเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง(ห้ามซื้อแอลกอฮอลล์ตอนกลางวัน ในร้่านขายของ1)

เราอยู่ในโลกที่ผูกติดไปกับกลไกตลาดไปแล้ว
และตอนนี้่เราเป็นใส้กลางของแซนวิช ที่ไปไหนไม่ได้
เราคนไทยจะทำอย่างไร
เราจะช่วยประเทศไทยเราอย่างไร
เราจะมีแววตาแห่งความกระตือรือร้นแบบนั้นได้ไหม
นักศึกษาที่เรียนอยู่ตอนนี้เขาคิดอะไรอย่างไรกับชาติและอนาคต
แล้วเราอยากให้คนอื่นเรียกเราว่าอย่างไร?
ข้อนี้ผมอยากรู้จริงๆ

Monday, February 19, 2007

เฮ้อ

หน้านี้เป็นหน้าของการย้ายงาน
ที่ออฟฟิศของผม มีลูกน้องลาออกไปในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ถึง 3 คน แต่ละคนก็มีเหตุผลแตหกต่างกันไป
บ้างก็ได้งานที่ดีกว่า บ้างก็ได้งานที่ดีกว่าพร้อมๆ กับการเบื่อระบบการทำงานของที่เก่า(ซึ่งก็คือที่ๆ ผมทำอยู่นี่ล่ะ)
บ้างก็กะจะไปเรียนต่อเมืองนอก ฉะนั้นก่อนไปขอหาประสบการณ์หลายๆ ที่
ของอย่างนี้ผมทักท้องใครไม่เป็น ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยลาออกเสียเมื่อไหร่
ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ กว่าจะเดินมาพูดกับหัวหน้านี่ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมืนอกัน
ฉะนั้นถ้าดูแล้วว่า เขาไปได้ดีกว่า อายุอานามยังมีโอกาส ก็ไปเลย
แต่พวกแก่ๆ จะทำขยับทำอะไร คงต้องคิดให้ดี คิดให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นหล่นลงมาเจ็บตัว
เดี๋ยวเด็กมันจะกัวเราะเยาะเอา
ช่วงนี้หัวสมองก็เลยต้องคิดโน่นคิดนี่ตลอดเวลา ไอ้เรื่องลาออกนี่ไม่เท่าไหร่
แต่เรื่องจะหาคนมาแทนนี่สิ น่าลำบากใจกว่า
มากเพราะกว่าจะหาคนเข้าขา ทำงานกันได้ราบรื่น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
ว่าไปแล้ว เหตุการณ์ช่วงนี้ ที่มีคนลาออกกันมากๆ ทำให้เรารู้สึกเลยว่า
การเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงในชีวตนี่เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน
หากเราทำใจได้เร็ว เข้มแข็ง และพยายามมองไปข้างหน้าเพื่อหาทางออก ก็น่าจะเป็นเรื่องดี
ผมว่าท้ายที่สุดชีวิตเราก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องหาความสุขจากสิ่งที่เป็นอยู่มีอยู่
ไม่ใช่หาความสุขจากความฝันตลอดเวลา
ซึ่งนั่นมันไม่ใช่ของจริงๆ เผลอๆ เราอาจจะทุกข์ เพราะความฝันอีกต่างหาก
ปล. ช่วงนี้กินมาก แต่ไม่มีเวลามาเขียนเลย
อยากจะแบ่งน้ำหนักเอามาไว้ในนี้จัง
เผื่อห่วงยางที่พุงจะได้ยุบลงบ้าง
ปล.(อีกที) รูปที่เอามาโพสต์คราวนี้เป็นของศิลปินชื่อ โจนาทาน เวอร์เมียร์
เป็นช่างวาดผู้ททำตัวลึกลับ พอๆ กับเชคสเปียร์ มีเรื่งราวของเขาอยู่น้อย และเป็นคนแรกๆ ที่
วาดาภพ perspective แล้วก็ชอบวาดภาพกิจวัตรประจำวันของคน
ผมชอบรูปของเขา เพราะมันดูทั้ง นิ่ง เงียบ สงบ
แลด้วยความที่เวอร์เมียร์เป็นคนลลึกลับ ก็ยิ่งจินตนาการไปใหญ่ว่า
ตอนที่เขานั่งวาดอยู่หน้าเฟรม เขาเป็นอย่างไร

Friday, December 01, 2006

เที่ยวไปชิมไป ตอนที่ 3 ปลาลวกที่ไม่คาวเอาเสียเลย


เมื่อก่อนผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบกินปลาน้ำจืด ไม่ได้กระแดหรือว่าเกิดใกล้ทะเล(บ้านเกิด โน่นฮะ ลำปาง)แต่อย่างไร
แต่เป็นเพราะเวลากินทีไรจะรู้สึกว่ามันคาวๆ โดยเฉพาะพวกแกงส้มปลาดุก โหไม่ไหวครับ แค่เห็นหนังลื่นๆ
หัวมีหนวดแกว่งอยู่อยู่ในหม้อ ก็ขอถวายจตุปัจจัยนี้ให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านไปเลยดีกว่า

แม้จะใส่น้ำมะกรูดดับคาวแล้ว ก็ยังไม่วายไม่กล้ากิน ถ้าเป็นปลาดทอดนี่ก็พอไหวครับ พอเล็มๆ กินได้บ้าง
ที่บ้านเป็นอันรู้กะเลยว่า ถ้าเป็นปลาน้ำจืดมา ไม่ว่าชะโด ดุก สวาย หรือไฮโซแค่ไหน ก็ไม่กิน ปลาทะเลเท่านั้น
ส่วนหนึ่งที่ผมพอจะกินปลาทะเลได้ก็เพราะเนื้อทันแน่น ให้ความรู้สึกเหมือนกินเนื้อไก่ มันก็เลยพอไหว

จนโตมาเริ่มชินและชอบกับการกินปลาดิบ (อันนี้ก็ไม่ได้กระแดะอีก ไม่ได้ไปเรียนต่อญี่ปุ่น หรือว่ามีแฟนญี่ปุ่นแต่อย่างไร)
บ่อยๆ เข้า การกินปลาก็เริ่มเป็นงานที่ง่ายเข้า ก็เลยเริ่มลองกินหลายๆ แบบ หลังๆ ดีขึ้นครับ เริ่มกินปลาน้ำจืดได้บ้าง มีหลายเจ้าที่ผม
เคยไปกินประเภทต้มยำปลาช่อน ปลาดุกแล้วไม่คาว ไม่ใส่หัวพร้อมหนวดมาให้ ก็เลยพอกินได้บ้าง ตอนนี้ก็เลยชอบกินข้าวปั้นหน้าปลาดิบไปเลย เสียดายอย่างเดียว ที่กรุงเทพฯ ข้าวปั้นหน้าปลาดิบ ไม่ได้ทำแบบยี่ปุ่นแท้ๆ เข้าใจว่าพ่อครับส่วนใหญ่ก็เป็นคนอีสาน
นี่ล่ะ คนกินส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยก็เลยต้องปรับ ข้าวหน้าปลาดิบแบบญี่ปุ่นต้องเอาข้าวไปหุงกับน้ำส้มสายชู เวลา
ทำก็ต้องคั่นระหส่างเนื้อปลากับข้าวด้วยวาซาบิ กินมามีไม่กี่ร้าน อย่างชะชะอัน ตรงสยามวแสควร์ นั่นโอเคครับ
เจ้าของและพ่อครัวเป็นนิปปองโงะ! รสชาติเวรี่ เวรี่ ลำ(ภาษเหนือแปลว่าอร่อย)

วันนี้จะมาเล่าว่า ผมได้กินปลาลวก อร่อยมากเลย ร้านนี้ทำดีครับ ไม่มีชื่อร้าน เป็นแผงข้างทางแถวๆ แยกสวนหลวง อ่อนนุช
เขาใช้ปลากะพงธรรมดาๆ นี่ล่ะ ลอกหนังออก แล้วก็หมักเกลือไว้ แล้วก็ลวก แล้วก็เอามาโรยกับขึ้นฉ่าย กระเทียมเจียว
ของเด็ดอยู่ตรงน้ำจิ้มนี่ล่ะ อร่อยมากครับ กินแกล้มเบียรืเย็นๆ หลังเลิกงาน เอกเขนกดูปลา ปมา แมวที่บ้าน
แค่นี้ก้เป็นสุขใจแล้ว

ปล. ปลาลวก ไม่ใช่เนื้อลวกนะครับ ต้องลวกให้สุก หรือหากจะกินดิบก้ต้องเป็นปลาทะเลที่สดและสดจริงๆ เท่านั้น
จะมามีเดียมแบบเนื้อไม่ได้ฮะ ไม่มีรสชาติ ไม่อร่อยครับ

Sunday, November 12, 2006

เที่ยวชิมของอร่อย ตอนที่ 2 สปาเก็ตตี้มีทบอล

เถียวกัรนมานานมาก ระหว่างอิตาลีกับจีนว่า ใครกันแน่ที่เป็นต้นตำรับของอาหารเส้นกันแน่ แต่สำหรับผม ขอ้สรุปแบบนี้ไม่มีผลสักเท่าไหร่ ผมว่าเป็นเรื่องของการเอาชนะคะคานกันเรื่องความเป็นหนึ่ง มากกว่า ซึ่งจรืงๆ แล้ว วัฒนธรรมการกินแบบนี้สามารถเกิดขึ้นพร้อมๆ กันได้ทั่วโลก ไม่จำเป็นต้องมีเพียงวัฒนธรรมเดียวเกิดขึ้นก่อน แล้วก็ค่อยแพร่ไป ไม่อย่างนั้น คนอียิปต์คงตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อรู้ว่า ข้าวก็สามารถเอามาทำเป็นเส้นได้ ฉะนั้น อย่าไปคิดมากครับ กินเอาอร่อยก็พอ สปาเก็ตตี้เป็นอาหาราบ้านๆ ไปแล้ว ใครๆ ก็เคยกินและทำกินเองได้ไม่ยาก เพราะมันไม่ได้ยากมากมาย หลังๆ คนไทยเองก็เอาเส้นสปาเก็ตตี้มาทำเป็นอาหารอย่างอื่น หรือเอาผ้ดแบบไทยๆ มาราดกระเพา วู้ อร่อยเหาะเหมือนกัน สปาเก้ตตตี้ก็เลยหกลายเป็นอาหารบ้านๆ สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมไปชิมสปาเก็ตตี้มีทบอลที่ ร้าน 13 เหรียญ ตรงสาขาสุรวงษ์ จริงๆ 13 เหรียญแทบจะเป็นร้านอาหารที่หลายคนลืมไปแล้ว เพราะอยู่มานาน หลังๆ นี่ยิ่งไม่ได้โฆษณาก็เลยเงียบไปใหญ่ แต่ที่นี่จุดเด่นก็คือ ราคาไม่แพงนัก แถมอาหารก็ยังอร่อยดีในหลายๆ เมนู อย่างสลัดทาโก้ หรืออย่างลาซานญ่า ที่ดีทำได้ดีเลย

ส่วสปาเก็ตตี้มีทบอลที่นี่ ที่ผมชอบก็อาจจะเป็นเพราะว่าซอสที่นี่ออกหวานจากไวน์เยอะหน่อย กลิ่นแตะจมูก แตะลิ้นเลยล่ะครับ ซอสที่ราดสปาเก็ตตี้ก็ค่อนข้างชุ่มดี สำหรับผมแล้ว การกินสปาเก็ตตี้ที่หนักน้ำราดเยอะๆ นี่ล่ะ อร่อยเพราะเส้นของสปาเก็ตตี้มันแห้งเร็ว แล้วถ้าน้ำน้อยการกินเส้นสปาเก็ตตี้ แข็งๆ ชืดๆ นี่ไม่อร่อยเอาเสียเลยเคยไปกินบางร้าน ลงกเส้นเสียจนนิ่ม กินแล้วเละ ไม่อร่อย จริงๆ แล้วนอกจากมีทบอล มีเนื้อปั้นอีกแบบที่อร่อยมาก ที่เราเรียกกันว่า คร้อกเก้ เป็นอาหารฝรั่งเศส ที่เอามันฝรั่งมาคลุกรวมกับเนื้อสัตว ปั้นเป็นก้อน แล้วทอด กรอบนอก นุ่มใน อร่อยดีครับ คร้อกเก้ที่ญี่ปุ่นเป็นที่นิยมมาก เป็นของกินเล่นที่กินกันอย่างแพร่หลายเรียกว่า คามาโบโกะ ถึงขนาดมีร้านที่ขายเฉพาะคร้อกเก้เลยก็มี บ้านเรามีขายที่ฟูจิ ยังไม่เคยชิมครับ ถ้าหากว่าไปชิมมาแล้ว หรือ ใครไปชิมมา เล่าให้ฟังบ้างก็จะดีครับ

Sunday, November 05, 2006

เที่ยวไปชิมของอร่อย ตอนที่ 1 ยำปลาโอ


เที่ยวไปชิม ตอนที่ 1
ตอนเด็กๆ ที่บ้านผม คุณตากับคุณยายชอบกินของดิบ ลาบดิบเป็นอาหารที่ผมจะเจอได้เสมอๆ บนโต๊ะอาหาร แถมถือเป็นอาหารชั้นยอดอีกด้วย เพราะนอกจากเลือดและเนื้อของคนที่หาเงินมาทำแล้ว เลือดและเนื้อควาย(หรือวัว)ที่เอามาทำ ก็ราคาสูงอยู่สำหรับชาวนาสมัยนั้น แต่กระนั้น ผมก็ยังเจอมันบ่อยๆ บนตะ แม้ว่า มันจะไม่ใช่อาหารที่จะหากินได้บ่อยๆ ผมเคยกินอยู่ครั้งสองครั้ง แล้วก็เลิกไป เพราะรู้สึกว่ามันไม่อร่อยเอาเสียเลย เนื้อที่โดนสับจนเละ คลุกกับเลือดสดๆ ราดลงไป คลุกกับน้ำพริกลาบ ซึ่งทำจากพริกแห้ง กระเทียม ปลาร้าสุก เกลือนิดหน่อย โขลกให้เข้ากัน แล้วก็มาคลุกกับเนื้อที่เตรียมไว้ โรยตะไคร้กับโหระพาเพื่อดับกลิ่นเสียหน่อย เท่านี้ก็เสิร์ฟได้ หลังๆ พอรัฐรณรงค์เรื่องไม่กินดิบ เพราะมีพยาธิ ก็เลยซาๆ กันไป ตอนผมโตมานี่ ก็มีหลงๆ มาบ้างที่คุณตานึกครึ้มทำกินกัน คุณตาเสียตอนอายุเกือบ 80 ปี ส่วนคุณยายที่นั่งโซ้ยลาบดิบกับคุณตา ตอนนี้ก็ 84 เข้าไปแล้ว แถมฟันยังเต็มปากอีกด้วย
อุปนิสัยการกินดิบของคนไทย ไม่เท่าครึ่งของคนญี่ปุ่น ที่กินดิบเก่งเอามากๆ คนญี่ปุ่นเชื่อเรื่องธรรมชาติมากและนับถือว่าการที่คนได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากเท่าไหร่นั้น นับเป็นของขวัญอันประเสิร์ฐ รวมถึงของกินการกินดิบก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการได้ใกล้ชิดธรรมชาติ โชคดีของคนญี่ปุ่นที่ของที่เขากินดิบส่วนมากนั้น คือปลาทะเล เพราะไม่มีพยาธิ อีกทั้งยังมีประโยชน์กับร่างกายอย่างมาก(มีความเชื่อว่าการรับประทานอาหารที่มีโครงสร้างระดับโมเลกุลต่างจากตัวเรามากๆ จะเกิดผลเสียน้อยที่สุด เช่นว่าการกินหมู ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนเรา อาจไม่ปลอดภัยเท่ากินปลา เพราะเป็นสัตว์เลือดเย็นและอาศัยอยู่ในน้ำ) ความสนใจในการการกินดิบของผมหลังๆ นี่ก็มาจากอาหารญี่ปุ่นนี่ล่ะ เริ่มจากผมชอบข้าวปั้นหรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่านิกิริซูชิ คนไทยมาเรียกสั้นๆ ว่าซูชิ ซูชิประกอบด้วยสามส่วนหลักๆ ก็คือข้าวหุงน้ำส้มสายชู ของที่นำมาวางบนข้าวและวาซาบิที่นำมาทาบนข้าวก่อนโปะหน้าหลากชนิดลงไป จิ้มกับโซยุ โอว...ล้ำ ลำ(ภาษาเหนือแปลว่าอร่อย) เวลาจิ้มเคล็ดลับก็คืออย่าจิ้มที่ข้าว ให้เอาด้านบนจิ้มลงไป ไม่อย่างนั้นข้าวจะยุ่ยออกมา ไม่เป็นก้อน ที่กินก็เพราะว่าส่วนหนึ่งมาจากสุดที่รักของผม คุณเขาชอบทานอาหารญี่ปุ่นมาก ทั้งๆ ที่เกิดลาดกระบัง ก็เลยกลายเป็นว่าพอลากผมไปกินก็เลยติดอกติดใจกันไป หลังๆ ริ่มเป็นกิจกรรมของสองเรา ที่จะหาที่กินข้าวปั้นอร่อยๆ หรืออาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ชิมกัน
แต่เมนูที่จะเล่าให้ฟังวันนี้ ไม่ได้เป็นเมนูที่คุณจะหากินได้ในซูชิบาร์ ที่โตเกียว หรือที่ไหน เพราะเมนูนี้คิดโดยคนไทย เพื่อคนไทยโดยแท้ แถมอร่อยถูกปาก นี่คือยำปลาโอดิบครับ
ปลาโอ หรือปลาคัตสืโอะ เป็นปลาที่มีอยู่ทั่วไปในทะเลญี่ปุ่น รสชาติคล้ายๆ กับปลาทู แต่ว่าเนื้อไม่แน่นเท่า ความอร่อยของยำปลาโออยู่ที่ปลาดิบที่เอามายำแบบไทยๆ ผมไปเจอยำแบบนี้ืที่แรกที่ร้านฟูจ อร่อยทีเดีิยวครับ รสชาติเปรี้ยวแล้วก็เผ็ดพริก ไม่จืดหรือครีมเหมือนอาหารญี่ปุ่น น่าชืื่นชมที่รู้จักประยุกต์เอาความดิบของปลา มาใส่กับยำแบบไทยๆ
และดูเหมือนจะเป็นเมนูยอดฮิตหรือยังไงไม่ทราบ ยำปลาโอ มีขาทั้งที่ร้านเซน ร้านซูกิชิ รสชาติไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ที่ซูกิชิอย่างที่ผมกินวันนี้ เขาจะหั่นตะไคร้ลงไปนิดหน่อย แล้วก็มีหัวไชเท้าหั่นฝอยใส่ลงมาด้วย ซึ่งก็อร่อยดี
แต่เคยไปชิมที่ร้าน คานาเบะ ปรากฏว่าายำปลาโอที่นี่แตกต่างจากสามที่ได้ชิมมาแล้ว ที่นี่กระเดียดออกไปทางสลัดมากกว่า มีน้ำสลัดที่ออกหวาน แล้วก็เสิรฟกับผักสดแบบฝรั่ง แถมปลาก็ทั่นสไลด์บางๆ ไม่เหมือนกับทุกที่ที่กินมา ซึ่งจะหั่นเป็นลูกเต๋ามากกว่า
ยังเหลือที่ฮานาย่า กับที่ชะชะอัน สองร้านอาหารญี่ปุ่นร้านโรปดที่ยังไม่ได้ไปชิม ไม่รู้ว่ารสชาติจะอร่อย หรือว่ามีใหเ้ชิมหรือเปล่า
น่าตลกดีที่อาหารที่ดูไม่ญี่ปุ่นเลย แต่กลับมีอยู่ในทุกร้านญี่ปุ่นที่ผมไปกินมา เลยไม่รู้ว่าใครไปคนเริ่มคิดเมนูนี้ก่อน จริงๆ ยำแบบเดียวกันนี้ยังมีแซลมอน ปลาทู ให้เลือกด้วย แต่ที่ผมกินบ่อยก็จะเป็นปลาโอ เพราะราคาถูกกว่าอีกสองปลาเกือบร้อย
หากใครยังกินของดิบไม่เป็น ลองหัดเริ่มจากเมนูนี้ก่อนก็ได้ครับ กินไม่ยาก อร่อยลิ้นคนไทย และที่สำคัญ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะลองสั่งอะไรนอกเหนือจากชุกเบนโตะ และชุดปลาซาบะ
ลองดูสิ
ไม่อร่อยให้เตะเลยเอ้่า

Saturday, October 21, 2006

หลงรักคนแปลกหน้่า

คืนวันศุกร์ที่ร้านประจำ เป็นร้านประจำที่ผมไปทุกๆ อาทิตย์ ความตื่นเต้นในการไปแทบไม่มีแล้ว เพราะร้านนี้ผมมากว่า ๖ ปีที่ผ่านมา พูดได้เลยว่าทุกศุกร์ ผมก็ไปมันอยู่ร้านเดียวนี่ล่ะครับ นานๆ ทีจะออกไปนอกสถานที่สักหน
เบื่อไหม...มันเลยมาแล้ว
มันกลายเป็นเพื่อน เป็นหน้่าที่ เป็นความรับผิดชอบบางอย่าง จริงๆ ร้านมันก็คงอยุ่ได้ล่ะแต่ผมรู้สึกไปเองว่า ต้องไปเจอเพื่อนที่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ได้เจอ สาระไม่มีมากไปกว่าการรวมตัวของคนปากเสียสี่ห้าคนมาเจอกัน แล้วก็พูด การเมืองไม่ยุ่ง
ปัญหาสังคมไม่ใช่เรื่อง ข้อเขียนทางวิชาการที่อยากจะพูด ไม่มี หรือสถานะการรืทางเศรษฐกิจ ไม่อยู่ในหัว
ประเด็นอย่างเดียวที่พอมีก็คือ กัดโต๊ะหน้าใหม่ๆ ที่เข้ามานั่ง กัดกันเอง ร้องเพลง คุยเรื่องโลกียะเท่าที่ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจะคุยกันได้
ชีวิตคืนวันศุกรืของผมดูขัดแย้งกับหน้าที่การงานที่ผมทำ มันเป็นโลกอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว
แม้ผมจะนั่งอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า แต่นี่คือพื้นที่ของผม และเพื่อนๆ ฉะนั้นไม่แปลกอะไรหากผมจะทำตัวผิดแผกไปจากที่คนเขาคาดหวังกัน
ผมว่าถ้าฟรอยด์มานั่งในร้านนี้ ข้อสรุปใหม่ๆ กับทฤษฎีทางจิตวิทยาอาจเปลี่ยนแปลงไป
ศุกร์ที่ผ่านมา มีอะไรพิเศษมากวก่าที่ผมคิด มันน่าจะเป็นคืนวันธรรมดาๆ ที่ผ่านไปอีกศุกร์ คืนนี้เป็นคืนต่้อนรับหยุดยาว ร้านค่อนข้างเงียบ ผมนั่งอยู่ในที่คุ้นเคยของผม ไม่ได้คิดว่าจะเจออะไรพิเศษๆ ผมมาร้านเป็นคนแรก
"ทำไมมาเร็วจังวันนี้" แอนดี้เจ้าของร้านทักผม ตอนที่ผมไปถึง พร้อมๆ กับไม่ละสายตาจากขวดเบียร์ที่กำลังบรรจงเรียงเข้าตู่แช่
ผมอธิบายไปว่า วันนี้มาจากที่ทำงานข้างนอก เสร็จแล้ว ไม่รู้ไปไหน ก็เลยมาร้านเลยดีกว่า
เสียงเพลงจากลำโพงเริ่มไล่เรียงเสียงดังมาเป็นระยะๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองไปตามเสียง เห็นหนีี(คือชื่อเขาชื่อหมีนะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะลามก) เดินลงมาจากซุ้มดีเจ พลันสายตาก็เห็นคนหนึ่งนั่งอยู่ที่บาร์
ตั้งแต่วินาทีนั้นผมก็ละสายตาขากเขาไม่ได้ทั้งคืน
....รออ่านต่อนะครับ ตอนนี้ขี้เกียจเขียนแล้ว

Sunday, October 15, 2006

Paris, I Love You


ปารีสที่รัก
กลิ่นอากาศรอบห้างพารากอน ไม่ได้ใกล้เคียงกับหน้าร้อนของปารีส ผมเดาได้เลยไม่ต้องไปเหยียบที่นั่นก็พอรู้ วันนี้ผมเจอพี่เบ้ เพื่อนเก่ารุ่นพี่ที่เคยมาเป็นบรรณาธิการภาพ เคยทำงานด้วยกันสมัยทำงานที่สุดสัปดาห์ เลยชวนกันไปดูหนังด้วยกันซะเลย
วันนี้เป็นวันเปิดเทศกาลหนัง BKK World Film ที่พารากอน หนังดี แต่เงียบชะมัดเลย นี่ถ้าหากว่าตอนนั้นเนชั่นกับททท. ยังไม่มีปัญหากัน เราคงได้เห็นเทศกาลหนังที่เป็นเทศกาลหนังจริงๆ กว่านี้ คิดไปคิดมาก็คล้ายๆ กับที่เราจัด BKK fashion week เหมือนกัน คือมีแต่ให้ดู แต่เรื่องอย่าคิดเรื่องขาย หรือว่าการทำธุรกิจอย่างเป็นระบบ อันนี้น่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี ในการพัฒนาทั้งบุคลากรและความคิดของคน
ว่ากันเรื่องหนังดีกว่า วันนี้ผมไปดูหนังเรื่อง Pairs, I love you ถ้าคุณจะหาชื่อในนี้ในเว็บไซท์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไหน แนะนำให้ลองใช้คำว่า paris je t’aime จะหาง่ายกว่า หนังยาว ที่ประกอบด้วยหนังสั้น 20 เรื่อง จากผู้กำกับ 20 คน ทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกา หนังแต่ละเรื่องจะสะท้อนชีวิตที่เกิดขึ้นในปารีส เป็นไอเดียที่น่ารักดี แต่ไม่ใหม่มาก คนไทยก็เคยทำหนังแบบนี้เหมือนกัน
ผมชอบหนังสั้นอยู่สองสามเรื่องที่อยู่ในนั้น เรื่องที่ประทับใจมากเป็นหนังที่กำกับโดย กัส แวน เซน เรื่องของเกย์ที่ต้องเป็นล่ามให้กับคนอเมริกัน ระหว่างทำงานก็ดันไปเจอคนที่เขาตกหลุมรัก ก็พยายามบอก จีบ หว่านล้อม และอื่นๆ จนกระทั่งตอนหลังหนังมาเฉลยว่า ไอ้คนที่เขาชอบก็เป็นคนอเมริกันเหมือนกัน เลยฟังฝรั่งเศสที่ไอ้ล่ามนั่นพูดไม่รู้เรื่อง หนังมีแค่นี้แต่ประทับใจดี อีกเรื่องไม่เชิงประทับใจ แต่ประหลาดใจมากกว่า เป็นหนังของเวส คราเวน ผมมักคุ้นกับหนังโหดๆ ของเขามากกว่า อย่าง Scream หรืออย่าง Red Eye มากกว่าเลยรู้สึกประหลาดใจที่เขาทำหนังสั้นเรื่องรักใคร่ของคู่ฮันนีมูน ที่ไปเยี่ยมหลุมศพของ ออสการ์ ไวลด์ แล้วเกิดทะเลาะกัน จนกระทั่งตอนจบผีไวลด์ นั่นแลมาช่วยไกล่เกลี่ย
หลายเรื่องเป็นมุขของคนฝรั่งเศสที่ไม่ทำไว้เผื่อลิงเหลืองอย่างผม ก็เลยไม่ค่อยเข้าใจ ส่วนหนังบางเรื่องอย่าง ของคริสโตเฟอร์ ดอยล์ ก็แอ๊บเซิร์ด เสียจนไม่เข้าใจเลย ดูสับสนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าตอนแกกำกับนี่ แกซดไฮเนเก้นไปกี่มากน้อยกระป๋อง
เวลาดูหนังที่ห่างจากวัฒนธรรมของเรามากๆ มันมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือตัวของหนังเอง ที่เปิดโลกให้เราได้รู้เรื่องราวของอีกวัฒนธรรมหนึ่ง มันไม่จำเป็นต้องเป็นหนังลึกล้ำอะไรหรอกครับ อย่างหนังอินเดียที่วิ่งข้ามเขาไปมา ร้องเพลงลั่นล้า ระบำกันสนุกสนาน นี่ก็ถือเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่สะท้อนออกมาในหนังว่า หนังต้องทำอย่างนี้เพราะอะไร มันทำให้เราอยากรู้ต่อว่า ทำไมหนังถึงออกมาเป็นอย่างนั้น
อีกอย่างก็คือเสียงหัวเราะของคนในโรง เวลาที่ผมได้ยินเสียงหัวเราะในฉากที่ผมไม่เข้าใจ ผมมักนึกย้อนไปถึงฉากในหนังอย่างเรื่องเพื่อนสนิท ที่พระเอกของเราพยายามร้องเพลงของทูนทองใจ แต่ร้องผิดออกเป็นคำผวน
ฉากแบบนี้ไม่สากลครับ ฝรั่งดูก็คงงงว่า เราหัวเราะอะไร
แบบเดียวกัน เวลาดูหนังพวกนี้ เห็นหัวเราะในฉากที่เรานั่งบื้อ มันดูแปลกแยกดี
ไม่รู้ว่า เทศกาลหนังคราวนี้ จะมีโอกาสได้ไปดูกี่เรื่อง
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านใหม่ การได้อยู่บ้านนานๆ เป็นลาภอันประเสิร์ฐ ที่จะหาไม่ได้ง่ายๆ จริงๆ สำหรับผม
อ้อ รูปที่เอามาให้ดูคือรูปในหนังสั้นของเวส คราเวน ผมจำชื่อนักแสดงไม่ได้ล่ะ ใครรู้บอกหน่อยก็ดีครับ (ริชาร์ด ไดรฟัส กับเอมีลี่ อะไรสักอย่าง)