เราจะช่วยชาติยังไงดี
๑
ทุกคนครับ
จริงๆ การเขียนกระทู้อันนี้ มันเริ่มจากผมนั่งเขียนต้นฉบับ
ผมกำลังหาข้อมูลและเรื่องนายกรัฐมนตรีของเวียดนาม
(นายเหงียน ตัน ดอง เป็นนายกคนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนาม
และเด่นมากเรื่องมีหัวการตลาด การค้าพอๆ กับเรื่องควาวมตงฉินของแก)
ตอนนี้ไทยเราโดนเอาไปเปรียบเทียบกับเวียดนามค่อนข้่างบ่อยว่าเรากำลังจะโดนแซง
ในอีกไม่ถึง 20 ปีนี้(หรืออาจเร็วกว่านั้น ซึ่งก็เป็นไปได้สูง)
ตอนนี้เวียดนามกำลังลงทุนหลายต่อหลายอย่างเพื่อรองรับ
การเติบโต ปีนี้เขาเริ่มสร้างสนามบินใหม่ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (แต่ใช้เวลาสร้าง
ประมาณ 8 ปี ไม่ใช่ 42 ปีอย่างบางประเทศ) เร่ิมพัฒนาเรื่อง infrastructure และ
มีการจัดตั้งศูนย์ที่เขาเรียกว่า Veitnam academy of social science
เป็นศูนย์เหมือนๆ กับ TDRI บ้านเรา คือทำหน้าที่ในการวิจัยทุกๆ อย่างที่รัฐสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในการกำหนดนโยบายประเทศ
ศูนย์นี้ตั้งเมื่อปี 2002 และเติบโตเร็วมาก
ตอนนี้มีนักวิทยาศาสตร์ทำงานอยู่ 1500 คน
ซึงเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรกว่า 80 ล้านก็ถือว่ามาก
เพราะจีนก็มีศูนย์แบบนี้ แต่มีนักวิทยาศาสตร์อยู่ 2200 คน
๒
นอกเหนือจากนายกที่เก่งเรื่องการยริหารและหัวการตลาด
(การจัดประชุม เอเปคและการเจรจาเข้าร่วม WTO ได้ของเขา ทำให้เวียดนามมีโอกาส
"ประชาสัมพันธ์" ตัวเองได้มาก)ว่ากันว่าการให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาการศึกษานี่เอง ที่ทำให้เวียดนามโตอย่างรวดเร็วและมีทิศทาง
ขณะที่บ้านเราระบบการศึกษายังเป็นคำถามอยู่(คุณแม่ผมเล่าให้ฟังว่า
ตอนนี้เด็กๆ ประถม ยังมีหนังสือเรียนชื่อ "เศรษฐกิจครัวเรือน" ถามว่ามีทำไม
แม่บอกว่า มีคนบางจำพวกที่หาเงินด้วยการซอยหนังสือแบบเรียนเป็นเล่มย่อยๆ
"เด็กก็ต้องซื้อหลายรอบ โรงพิมพ์ก็ต้องพิมพ์หลายครั้ง" คงไม่ต้องบอกว่าทำเพื่ออะไร)
เวียดนามขึ้นมาเป็นประเทศที่สองของโลกที่ญี่ปุ่นสนใจอยากลงทุนมากที่สุดรองจากจีน
ตำแหน่งนี้เคยเป็นของไทย แต่ตอนนี้ไทยเราตกไปอยู่ที่ท้ายๆ เพราะปัจจัยด้านการเมือง
๓
มีคนตั้งขอ้สังเกตว่าหากเมืองไทยยังมีระบบการเมืองแบบนี้
ยังแก้ปัญหาเรื่องคอรัปชั่นไม่ได้ และคิดนโยบาย ทำนโยบายเหมือนเด็กเล่นขายของ
ไทยก็ไม่มีทางไปถึงไหน และในขณะที่เศรษฐกิจของเวียดนามโตระดับเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ทุกๆ ปี
การเมืองเป็นเรื่องใหญ่กว่าทุกอย่างครับ มากกว่าระบบการเงิน
หรือระบบเสรษฐกิจเสียอีก
๔
หากเราจะสังเกตกันรอบๆ เมืองไทย จะพบว่า
ประเทศที่สามารถพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดอย่าง
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้่หวัน ฮ่องกงหรือสิงคโปร์ สิ่งสำคัญก็คือ
การมีรัฐบาลพรรคเดียวบริหารแบบต่อเนื่องและยาวนาน
ทำให้นโยบายไม่สะดุด ไม่ต้องนับหนึ่งกันใหม่เวลาเปลี่ยนรัฐบาล
ที่สำคัญคือต้องปราบปรามคอรัปชั่นได้อย่างเด็ดขาด
เหมือนให้คนเปลี่ยนมาเรียกยาบ้าแทนยาม้า
๕
ตำพูดคุณวิกรม เจ้าของอมตะนครในรายการโทรทัศน์รายกการหนึ่ง
ตอนพบค่ำ เขาเล่าถึงประสบการณ์กว่าสิบปีที่ทำงานกับคนเวียดนามนานหลายสิบปี
เขาพบอย่างหนึ่งว่าแววตาของคนเวียดนามต่างจากคนไทยมาก
"คนเวียดนามมีแววตาที่มุ่งมั่น ใฝ่รู้ กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งเป็นที่ถูกใจของนักธุรกิจที่ได้เข้าไปติดต่อกับเวียดนาม
เพราะเขาเห็นพลัง เห็นความกระหายอยากรู้ แล้วคนเวียดนามมี creative mind ดี
กล้าคิดกล้าทำ
นักธุรกกิจญี่ปุ่นหลายคนที่เคนมาติดต่อกับราชการที่เมืองไทย
เขามักบอกผมเสมอๆ ว่าคนไทยไม่มีสายตาแบบนั้น บางทีเหม่อลอย
บางทีไม่กล้า ไม่กระตือรือร้น
โดยเฉพาะข้าราขการไทย แทบหาไม่ได้
แววตาที่อยากทำงาน แววตาที่กระตือรือร้น มุ่งมั่นแบบนั้น"
คุณวิกรมบอกว่าในขณะที่คนไทยเดินทอดน่องกันตอนเลิกงาน
แต่ที่เวียดนาเขาไม่เคยเห็นใครทำอย่างนั้น
๖
ครั้งหนึ่ง
คนไทยเราครั้งหนึ่งเคยเรีัยกคนจีนแบบดูถูกว่าพวกเจ๊ก
เราเคยเรียกคนเวียดนามด้วยคำว่า ไอ้พวกเวียดกง
ผมไม่รู้ว่าคนเวียดนามเขาเรียกเราว่าอะไร
และคนจีนเรียกเราว่า "ไ่ทกั่วเหยิน" นั้น เขาจะเราด้วยนำ้เสียงแบบเดียวกับ
ที่เราพูดว่าเจ๊กหรือเปล่า
ผมไม่รู้ว่านี่เป็นข้อดี หรือเป็นข้อเสียของเรา
กับการที่เราสามารถเป็นคนเปิกเฉยในบางเรื่องได้สบายๆ(อย่างคอรัปชั่นหรือวัฒนธรรมแบบปากอย่างใจอย่าง)
และใส่ใจกับเรื่องบางเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง(ห้ามซื้อแอลกอฮอลล์ตอนกลางวัน ในร้่านขายของ1)
เราอยู่ในโลกที่ผูกติดไปกับกลไกตลาดไปแล้ว
และตอนนี้่เราเป็นใส้กลางของแซนวิช ที่ไปไหนไม่ได้
เราคนไทยจะทำอย่างไร
เราจะช่วยประเทศไทยเราอย่างไร
เราจะมีแววตาแห่งความกระตือรือร้นแบบนั้นได้ไหม
นักศึกษาที่เรียนอยู่ตอนนี้เขาคิดอะไรอย่างไรกับชาติและอนาคต
แล้วเราอยากให้คนอื่นเรียกเราว่าอย่างไร?
ข้อนี้ผมอยากรู้จริงๆ