coup de tat
หลังคืนวันที่ 19 กันยายนหลักหมุดใหม่ที่ปักลงในประวัติศาสตร์ชาติไทยคราวนี้ดูกะทันหันเพราะไม่มีใครคิดว่า มันจะเกิดขึ้นกับประเทศที่กำลังจะเปิดสนามบินที่ติดอันดับต้นๆ ของโลกเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางทางการบิน
ผมก็ไม่คิด เมื่อคืนเพิ่งไปเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก ยังแอบดีใจที่เพื่อนผมกำลังใจดีเยี่ยม ยิ้มแย้ม ไอ้เราก็พลอยอุ่นใจว่า เออชีวิตเพื่อนเราก็คงดีขึ้นเรื่อยๆ ตามสนามบิน(ฮา) ที่ไหนได้ พอวิทยุเริ่มเปิดเพลงปลุกใจ(น่าจะไม่เคยแต่งเพิ่มเพราะน่าจะใช้มาตั้งแต่สมัยจอมพล ป. และคิดว่าไม่เคยแต่งเพิ่ม) เหมือนกันหมดทุกสถานี พร้อม SMS จากบรรดาเพื่อนๆ ให้รีบกลับบ้าน เพราะกำลังจะมีการปฏิวัติ! ความเร็วไม่เกิน 90 ก็ขยับขึ้นไปเป็น 120 เพราะอยากกลับไปดูทีวีที่บ้านว่า เหตุการณ์ไปถึงไหน กลับบ้านเปิดดู CNN ก็เห็นรูปรถถังจอดบนถนน ทหารสะพายปืนเดินเพ่นพ่านตามถนน
ชาวบ้านควักมือถือมาถ่ายรูปด้วยความยิ้มแยม กับทหารและรถถัง....ย้ำ ชาวบ้านถ่ายรูปด้วยความยิ้มแย้ม
ผมอดหัวเราะและแลปกใจไม่ได้กับภาพที่เห็น เป็นภาพการปฏิวัติที่ดูเหมือนงานวันเด็กแห่งชาติ คิดไปเองว่านี่คงเป็นประเทศเดียวในโลกกระมังครับที่นอกจากไม่มีการเสียเลือดเนื้อแล้ว การปฏิวัติก็ยังดูเหมือนเป็นวาระแห่งการเฉลิมฉลองมากกว่า จนอดแปลกใจตามมาไม่ได้ว่า เอหรือว่านี่จะเหมือนตอนคาร์บอมบ์ ที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ ความไม่แน่ใจทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ กับภาพที่เห็นคนเอามือถือมาถ่ายรูปกับรถถัง
ความจริงกำลังถูกท้าทาย ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการโกหกคำโตของใครบางคน จนแม้กระทั่งบางครั้งการแสดงตัวของความจริงก็ไม้เพียงพอจะยืนยันได้ว่านี่คือความจริง (จริงๆ นะ ไม่ได้โม้)
เราพูดโกหกกันจนเคยปาก เรามีข้อแก้ตัวจนเคยชิน จนสิ่งเหล่านั้นแปลเปลี่ยนไปเป็นความจริงที่เราเชื่อไปแล้วหรือเปล่า
การปฏิวัติครั้งนี้ทุกคน หวังว่าจะได้เห็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า แต่ผมก็กลัวเหลือเกินว่า หากทุกคนยังชินอยู่กับการหาคำแก้ตัวและการโกหกคำโตแบบที่ฮิตเบอร์เคยพูดไว้
ความจริงจัง ความจริงใจและความจริง จริงๆ ก็คงเหลืออยู่น้อยจนน่าใจหาย
0 Comments:
Post a Comment
<< Home